ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ โทร 052-080778
นายเจริญ ซ้อนฝั้น
นายกองค์การบริหารส่วนตำบล โทรศัพท์0843782356
นายบดินทร์ คล้อยคล้า
ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล โทรศัพท์0854265973

ขณะนี้ 5 คน
สถิติวันนี้ 401 คน
สถิติเดือนนี้ 8715 คน
สถิติปีนี้ 120174 คน
สถิติทั้งหมด 1910038 คน
ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2557
 

ความรู้เรื่องโภชนาการ (18 ก.ค. 59)

อาหารคืออะไร

อาหารคือสิ่งที่บริโภคได้  และมีประโยชน์แก่ร่างกาย

ประโยชน์ของอาหาร

๑.  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง และซ่อมแซม สิ่งที่สึกหรอ

๒.  ช่วยให้พลังงานและความอบอุ่น

๓.  ช่วยสร้างกำลังเพื่อต้านทานโรค บำรุงสุขภาพ ช่วยให้อายุยืนยาว ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  ดวงตาแจ่มใส ฟันดีแข็งแรง ผมดกดำ และไม่แก่ก่อนวัย

๔.  ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพปกติ

นี้เป็นหลักการใหญ่ ๆ ส่วนผลพลอยได้อย่างอื่นนั้นยังมีอีกมาก อาทิเช่น ทำให้มีสมรรถภาพในการทำงาน ทำให้ปัญญาดี ซึ่งจะช่วยให้เด็กนักเรียนสอบตกน้อยลง ทำให้นักกีฬามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้อารมณ์ดีไม่เกิดโมโหหิว ฯลฯ พระบรมศาสดาได้ทรงทดลองมาก่อนแล้ว ทรงพบว่าการอดอาหารจะไม่สามารถทำให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้  ครั้นได้เสวยเป็นปกติแล้วจึงทรงตรัสรู้  พระองค์จึงได้ทรงสอนว่าอาหารเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในสี่อย่างที่จำเป็นสำหรับการครองชีพของมนุษย์

โภชนาการคืออะไร

โภชนาการเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องความสำคัญของอาหารต่อสุขภาพของร่างกาย

อาจมีผู้สงสัยว่า  มนุษย์รู้จักกินมาตั้งแต่เกิด และกินกันมาตั้งแต่เมื่อมีมนุษย์อยู่ในโลกแล้ว  ทำไมจะต้องมาเรียนวิชาโภชนาการด้วย ก็อาจกล่าวได้ว่า  การกินโดยไม่มีความรู้ย่อมเป็นเหตุให้ป่วยไข้และสุขภาพทรุดโทรมได้โดยง่าย  เนื่องจากการขาดสารอาหารได้ทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่เต็มกระเพาะ  เพราะไม่รู้จักกิน  สถิติแสดงว่าในระยะ ๕๐ ปีมานี้  ความรู้ในเรื่องโภชนาการได้ช่วยให้คนอายุยืนยาวเพิ่มจาก ๔๕ ปีเป็น ๗๐ ปี ช่วยให้สูงขึ้น ๕ เซนติเมตร และน้ำหนักเพิ่มขึ้น ๕ กิโลกรัม ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนา  ยังเป็นโรคขาดอาหารกันมาก  อายุเฉลี่ยของคนจะอยู่ระหว่าง ๓๓-๕๐ ปีเท่านั้น  เนื่องจากอัตราตายของทารกและเด็กสูง และสุขภาพก็ไม่ดี

สารอาหารคืออะไร

ในทางโภชนาการ  เราแบ่งอาหารออกได้เป็น ๖ พวก ตามส่วนประกอบทางเคมี  และตามหน้าที่อันพึงมีต่อร่างกาย เรียกสารอาหารหรือธาตุอาหาร ดังนี้

๑.  ธาตุน้ำตาล  ช่วยให้พลังงานและความร้อนแก่ร่างกาย

๒.  ธาตุไขมัน  ช่วนให้พลังงานและความร้อน กับให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกาย

๓.  ธาตุเนื้อ  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมสิ่งสึกหรอ ช่วยสร้างกำลังเพื่อต้านทานโรค  ให้พลังงาน และให้กรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกาย

๔.  เกลือแร่  มีอยู่หลายสิบชนิดด้วยกัน  ช่วยในการสร้างกระดูก ฟัน และเลือด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอ กับช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ

๕.  วิตามิน  มีอยู่กว่าสิบชนิด  แบ่งออกได้เป็น ๒ พวกใหญ่ คือ พวกที่ละลายในน้ำและที่ละลายในน้ำมัน  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ

๖.  น้ำ  มีความสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของเซลล์  ช่วยการไหลเวียนของเลือด การย่อยอาหารและการขับถ่าย ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ความสำคัญของน้ำต่อร่างกายนั้นมีมาก  เพราะเป็นส่วนประกอบถึง ๗๐℅ ของน้ำหนักตัว จะเห็นได้ง่าย ๆ ว่าในรายที่ท้องร่วง  จะทำให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรงจนถึงกับตายได้

ทั้งนี้เนื่องจากการที่ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำนั่นเอง  ฉะนั้นนอกจากเราจะได้รับน้ำจากอาหารต่าง ๆ แล้ว ยังต้องดื่มน้ำอีกวันละหลาย ๆ แก้ว

อาหาร ๕ หมู่

เนื่องจากอาหารที่เรากินนั้นมีมากมาย  แต่ละชนิดก็มีธาตุอาหารอยู่มากน้อยแตกต่างกันไปตามธรรมชาติ  จึงนิยมจัดเข้ารวมไว้เป็นพวกเป็นหมู่  โดยถือเอาความสำคัญที่จะได้รับประโยชน์ของธาตุอาหารเป็นหลัก  ดังนี้

๑.  หมู่ข้าว  มีธาตุน้ำตาลเป็นสำคัญ  ได้แก่ข้าว ข้าวโพด น้ำตาล เผือก มัน และของหวานต่าง ๆ

๒.  หมู่เนื้อ  มีธาตุเนื้อเป็นสำคัญ  นอกจากนี้ยังมีเกลือแก่และวิตามินด้วยได้แก่เนื้อสัตว์  นม ไข่ ปลา หอย เลือด อวัยวะเครื่องใน และพวกถั่วนานาชนิด

๓. หมู่ไขมัน  มีธาตุไขมันเป็นสำคัญ มีวิตามินที่ละลายในไขมันได้วย  ได้แก่น้ำมันจากพืชและจากสัตว์ เช่นน้ำมันหมู น้ำมันรำ น้ำมันถั่ว ไข่แดง เนย นม และมะพร้าว

๔.  หมู่ผัก  มีเกลือแร่และวิตามิน

๕. หมู่ผลไม้ มีเกลือแร่ วิตามิน และธาตุน้ำตาล

นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงรสต่าง ๆ  ซึ่งช่วยให้รสชาติหรือกลิ่นของอาหารดีขึ้น เช่น เครื่องเทศ น้ำปลา พริกป่น พริกไทย น้ำส้ม ฯลฯ ถึงแม้ว่าเราจะกินกันไม่มากมายนัก  แต่ก็นับว่ามีความสำคัญในการที่ช่วยให้กินอาหารได้มากขึ้น กับช่วยให้ร่างการได้รับธาตุเนื้อ เกลือแร่ และวิตามินบางอย่างด้วย แต่ถ้ากินมากเกินไป  เช่นพริกหรือเครื่องเทศ ก็อาจเป็นผลร้าย ทำให้เกิดเป็นโรคแผลของกระเพาะอาหารได้  จึงต้องพึงระวัง และโดยที่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารหลายอย่าง  ซึ่งจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแตกต่างกัน  แต่ไม่มีอาหารชนิดใดเพียงชนิดเดียว  ที่จะมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย  ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราจึงต้องกินอาหารให้ครบทั้ง ๕ หมู่ เพื่อให้ได้ธาตุอาหารครบถ้วน

การย่อยและการดูดซึมของอาหาร

อาหารที่เรากินเข้าไป มิใช่หมายความว่าร่างกายจะนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น  เพราะถ้ากินเข้าไปแล้วออกมาทางทวารหนักเสียหมดก็ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้  ร่างกายจะนำอาหารไปใช้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ผ่านการย่อยและการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้ว คือ ธาตุน้ำตาล เช่น แป้ง จะถูกย่อยให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ธาตุเนื้อจะถูกย่อยให้เป็นกรดอะมิโน  ธาตุไขมันจะถูกย่อยให้เป็นกรดไขมันกับกลิสเซอรอล  ส่วนธาตุเกลือแร่และวิตามินจะไม่มีการย่อย  แต่จะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพที่ละลายได้เสียก่อน และน้ำดูดซึมได้รวดเร็วโดยไม่มีการย่อย  พวกที่ย่อยไม่ได้ เช่น พวกเอ็น พังผืด หรือเซลลูโลสในผัก นี้เรียกกากอาหาร  ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ พวกนี้จัดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายทางอ้อม  ที่ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว จึงช่วยป้องกันมิให้ท้องผูก  นั่นคือการกินผักและผลไม้มาก ๆ นอกจากจะได้น้ำตาล เกลือแร่ และวิตามินแล้ว ยังช่วยมิให้ท้องผูกอีกด้วย

ธาตุเนื้อมีความสำคัญเป็นพิเศษอย่างไร

คำว่าธาตุเนื้อ(โปรทีน) เป็นคำภาษากรีกมีความหมายว่า “สำคัญกว่าเพื่อน” ทั้งนี้ โดยที่ ธาตุน้ำตาลก็ดี ธาตุเนื้อก็ดี สามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นธาตุไขมันได้ในร่างกาย และในทำนองเดียวกัน  ธาตุไขมันและธาตุเนื้อก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นธาตุน้ำตาลได้ แต่ทว่าทั้งธาตุน้ำตาลและธาตุไขมันจะไม่สามารถเปลี่ยนใหเป็นธาตุเนื้อได้  เนื่องจากธาตุเนื้อเป็นอาหารประเภทเดียวเท่านั้นที่มีสารไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย  อนึ่งเราจำเป็นต้องกินธาตุเนื้อทุกวัน  เพราะร่างกายไม่มีการสะสมธาตุเนื้อไว้  ซึ่งผิดกับธาตุน้ำตาลหรือธาตุไขมันที่ร่างกายสามารถเก็บสะสมไว้ได้บ้าง

หน่วยย่อยของธาตุเนื้อคือกรดอะมิโน  ซึ่งมีอยู่ทั่ว ๆ ไปในอาหารประมาณ ๒๒ ชนิด  แต่มีอยู่เพียง ๑๐ ชนิดเท่านั้นที่ร่างกายจะขาดเสียมิได้ เรียกกรดอะมิโนที่จำเป็น และเราจำต้องกินเข้าไปให้เพียงพอทุก ๆ วัน มิฉะนั้นแล้วร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างขึ้นเป็นเนื้อหนังได้  ยังผลให้ไม่เจริญเติบโต ผอม บวม พุงโร ผิวหนังอักเสบ และเปลี่ยนเป็นสีแดง ความต้านทานของร่างกายลดต่ำ ทำให้เป็นหวัดและเป็นโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย  ถ้าเป็นแผลก็จะทำให้แผลหายช้า ฯลฯ  อาหารที่มีกรดอะมิโนครบทั้ง ๑๐ ชนิดคือ ไข่ นม เลือด เนื้อสัตว์ทุกชนิด อวัยวะเครื่องใน และถั่วต่าง ๆ จึงควรพยายามเลือกอาหารเหล่านี้อย่างหนึ่งอย่างใดกินให้มากพอเป็นพิเศษทุก ๆ วัน

วิตามินเอในอาหาร

วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน  มีอยู่มากในน้ำมันตับปลา ปลากระป๋อง ตับ ลำไส้ นม และเนย  นอกจากนี้ในพืชผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มันเทศ ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอ กล้วย ขนุน มะม่วง ข้าวโพด ฯลฯ มีสารที่เรียกแคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ในร่างกาย  ฉะนั้นผู้ที่เกรงว่าจะขาดวิตามินเอ  จึงพึงเลือกกินอาหารดังกล่าวนี้

วิตามินเอจะช่วยให้การเจริญเติบโต ช่วยให้นัยน์ตาและเยื่อบุต่าง ๆในร่างกายเจริญเป็นปกติ ฉะนั้น ถ้าขาดวิตามินเอจะเป็นเหตุให้ร่างกายแคระ ตาฟางในตอนกลางคืน นัยน์ตาแห้ง แดง และอักเสบ จนถึงกับนัยน์ตาบอด ทำให้ฟันผุ เป็นหมัน เป็นนิ่ว และเป็นหวัดได้ง่าย ผิวหนังจะแห้งหยาบเป็นเม็ด ๆ เหมือนกระดาษทรายหรือหนังคางคก

วิตามินบีหนึ่งและบีสองในอาหาร

วิตามินทั้งสองชนิดนี้ละลายในน้ำ  ฉะนั้นการเตรียมอาหาร วิตามินนี้จะอยู่ในน้ำละลายเป็นส่วนใหญ่ เช่น ในน้ำข้าว น้ำซุป และน้ำต้มผัก  การกินอาหารจึงไม่ควรกินแต่ส่วนเนื้อเท่านั้น  ควรจะกินส่วนน้ำด้วย  วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีอยู่มากที่ผิวของข้าวซ้อมมือ  ฉะนั้นถ้าข้าวถูกสีขัดเสียจนขาว  วิตามินเหล่านี้ก็จะออกไปอยู่ในรำข้าวหมด  กลายเป็นอาหารของหมู เนื้อหมูจึงมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น  นอกจากนี้ยังมีอยู่มากในพวกถั่วต่าง ๆ ตับ อวัยวะเครื่องใน และน้ำนม

วิตามินบีหนึ่งจะช่วยในการเจริญเติบโต ช่วยให้อยากอาหาร และช่วยบำรุงประสาท ฉะนั้นถ้าขาดวิตามินบีหนึ่งจะเป็นเหตุให้ร่างกายแคระ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องผูก ปวดเจ็บตามน่อง และเป็นโรคเหน็บชา

โรคเหน็บชาพบได้บ่อย ๆ ในทารก เกิดขึ้นเนื่องจากแม่ขาดวิตามินบีหนึ่ง  น้ำนมจึงมีวิตามินน้อยหรือไม่มีเลย  ลูกจึงพลอยขาดไปด้วย อาการต่าง ๆ จะดำเนินไปรวดเร็วมาก เป็นเหตุให้ตายได้ง่าย

วิตามินบีสองจะช่วยควบคุมปฏิกิริยาทางเคมีหลายอย่างในร่างกาย ฉะนั้นถ้าขาดวิตามินบีสอง จะทำให้ริมฝีปากแดงบวม และมุมปากแตกเป็นร่องทั้งสองข้าง เรียกปากนกกระจอก ลิ้นเลี่ยนอักเสบและเป็นสีม่วง นัยน์ตาแดงอยู่เสมอ ผิวหนังบริเวณหูและจมูกอักเสบ แตกและตกสะเก็ด

สรุป

อาหารเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต  ความรู้เรื่องอาหารและโภชนาการเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ชีวิตสมบูรณ์  และเป็นเรื่องที่ทุกคนควรเอาใจใส่ พยายามกินอาหารให้ครบทั้ง ๕ หมู่อย่างพอเพียง โดยกินข้าวให้น้อยลง กินกับให้มากขึ้น จะช่วยให้อายุยืน รูปทรงสวย แข็งแรง สูงและน้ำหนักตัวเพิ่ม สุขภาพดีทั้งทางกาย ปัญญา และอารมณ์  ทำให้มีสมรรถภาพในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการกีฬาด้วย ผู้ที่อยู่ในถิ่นที่เป็นโรคเหน็บชา ควรกินข้าวซ้อมมือ ผู้ที่อยู่ในถิ่นที่เป็นโรคคอพอกควรกินเกลืออนามัย ผู้ที่อยู่ในถิ่นอัตคัดเนื้อสัตว์ควรกินถั่วให้มาก และทุกคนควรกินนมและไข่บ้างตามสมควร





 

 
 
 
 
Copyright © 2014-2024 โดย องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง - www.namboluang.go.th
องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง เลขที่ 222 หมู่ที่ 2 ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ 50120 โทรศัพท์ (052) 080778 โทรสาร (052) 080935 , (052) 080926 Email:namboluang@gmail.com

เว็บไซต์ออกแบบและพัฒนาโดย www.click2solutions.com